สถิติผู้เข้าชม
ขณะนี้มีผู้เข้าใช้
5
ผู้เข้าชมในวันนี้
179
ผู้เข้าชมทั้งหมด
1,006,952
7 มีนาคม 2564
อา
จ.
อ.
พ.
พฤ
ศ.
ส.
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
Behind The Scene 2008/2009/2010 *End*
[FIC]WORLD BIG TOUR ~Behind The Scene~
[27 กุมภาพันธ์ 2556 21:46 น.]จำนวนผู้เข้าชม 1491 คน
2nd Track : N.M.P
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง!!!??”
“จะไปเปิดโซโลไลฟ์ที่อเมริกา จะไม่อยู่ทัวร์เอเชียกับKAT-TUNแล้ว.... แล้วจะทำยังไงกับงานที่เราคิดกันมาตั้งเป็นครึ่งๆปี นี่พวกฉันไม่ได้กำลังเล่นขายของหม้อข้าวหม้อแกงกันอยู่นะโว้ย!!!!!!!”
เสียงทุบโต๊ะตามติดมาด้วยเสียงเก้าอี้เบาะหนังแบบล้อหมุนมีพนักพิงล้มระเนระนาดก่อนที่ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางจะลุกพรวดพราดขึ้นพร้อมด้วยเสียงตะโกนดังลั่นอย่างโกรธเคือง ใบหน้าขาวจัดแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะแรงโทสะจนทุกคนในห้องประชุมเล็กของบริษัทต่างเงียบกริบไม่มีใครกล้าปริปากพูด แม้กระทั่งเพื่อนร่วมวงที่สนิทสนมกันมากที่สุดอย่างนากามารุ ยูอิจิ.... สภาพกระอักกระอ่วนชวนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่แตกต่างอะไรเลยกับสนามรบดุเดือดซึ่งถูกวางกับระเบิดจนเต็มพื้นที่ทุกตารางนิ้ว ถ้าหากพลั้งพลาดเหยียบเข้าก็อาจแขนขาขาดสะบั้นถึงแก่ความตายได้ แต่จนแล้วจนรอด ตัวต้นเหตุของปัญหาและความขัดแย้งทั้งหมดก็ค้อมศีรษะลงจนหน้าผากแทบจรดชิดกับโต๊ะรูปทรงตัวU ก่อนจะเอ่ยคำขอโทษออกมาเพื่อขอยุติการประชุมที่กำลังจะกลายเป็นการทะเลาะวิวาทระหว่างสมาชิกKAT-TUNให้จบลงแค่เพียงเท่านี้
“ต้องขอโทษพวกนายทุกคนด้วย แต่นี่เป็นเรื่องที่ฉันตัดสินใจแล้ว”
“ทุเรศ!!!! พูดแมวๆแบบนี้ออกมาได้ไงวะ!!!??”
อุเอดะ ทัตสึยะยังคงแผดน้ำเสียงเกรี้ยวกราดไม่ยอมรับคำขอขมาที่เขารู้สึกว่ามันช่างไร้น้ำหนักน่าเชื่อถือและฟังดูขอไปทีอย่างที่ไม่สามารถทำใจให้อภัยได้ สีหน้าท่าทางเย่อหยิ่งเรียบเฉยอวดดื้อถือดีไร้ความรู้สึกสำนึกผิดของอาคานิชิ จินกำลังเร่งปรอทอารมณ์โกรธของอดีตลีดเดอร์วงให้พุ่งจนถึงขีดสุด หากไม่มีมือของยูอิจิคอยจับบ่าของเขาเอาไว้เป็นเชิงห้ามปรามไม่ให้กระโจนข้ามฟากโต๊ะไปชกหน้าอีกฝ่ายให้หงาย ทัตสึยะก็กล้ารับรองได้เลยว่าพ่ออาร์ทิสหนุ่มเทวดานั้นคงไม่แคล้วต้องล้มลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นพรมด้วยแรงเหวี่ยงหมัดระดับเดียวกันกับที่สามารถทำให้กระสอบทรายแตกเป็นรูโหว่อย่างแน่นอน
“อุเอปี้ ใจร่มๆก่อนนะ.....แบบว่า......อย่าให้มันยิ่งแย่ไปกว่านี้เลย”
ร่างสันทัดผิวสีเข้มคล้ำพูดแทรกขึ้นหวังคลี่คลายสถานการณ์ให้ดูดีขึ้นสำหรับทุกคน ทั้งที่โคคิเองก็ใช่ว่าจะเห็นดีเห็นงามกับการตัดสินใจทิ้งเพื่อนทิ้งวงไปอย่างไร้ความรับผิดชอบของจิน แต่ก็ไม่ได้อยากให้รอยร้าวที่ก่อตัวปรากฏชัดนั้นยิ่งเลวร้ายหนักข้อมากขึ้นไปอีกจนกระทั่งต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันไม่ติด
“มันก็ต้องแย่อยู่แล้วในเมื่อไอ้หมอนี่มันกล้าทรยศทุกคนแบบนี้.... ไม่อยากเสียโอกาส ไม่อยากทิ้งความฝันอย่างงั้นเหรอ โธ่เว้ย......มันก็แค่ใช้KAT-TUNเป็นทางผ่าน พอตัวเองสบโอกาสจะได้เดบิวท์ต่างประเทศก็ถีบหัวเมมเบอร์คนอื่นส่งแหละวะ!!!!”
“ทัตสึยะ นายใจเย็นๆก่อนได้มั้ย อย่างน้อยก็ให้ไอ้จินมันอธิบาย.......”
“ยังมีอะไรต้องอธิบายอีกล่ะ.... ก็จะไปอเมริกาแล้วนี่ ไม่ออกทัวร์กับKAT-TUNแล้ว คำแก้ตัวน้ำขุ่นๆฟังกี่ครั้งมันก็เหมือนเดิม!!!!”
ความพยายามของนากามารุก็ไม่เป็นผลเช่นเดียวกันเมื่อดูท่าว่าอุเอดะนั้นจะสติแตกจนไม่รับฟังเสียงกึ่งห้ามกึ่งขอร้องจากใครอีกแล้วทั้งสิ้น.... ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องรู้ดีอยู่แก่ใจว่าภายในหัวสมองของผู้ชายที่ชื่ออาคานิชิ จินนั้นไม่เคยเห็นเรื่องของKAT-TUNเป็นเรื่องสำคัญซึ่งควรค่าแก่การใส่ใจ นับตั้งแต่การขอกลับเข้าวงหลังเหตุการณ์พักงานเพื่อไปศึกษาต่อที่อเมริกาอย่างกะทัน กี่ครั้งกี่หนที่จินพูดจาไม่รักษาน้ำใจของพวกเขาหรือแม้กระทั่งแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความเบื่อหน่ายในการเป็นไอดอล รังเกียจที่จะเป็นส่วนหนึ่งของคน6คนที่เคยมีความฝันร่วมกัน แต่เขาก็ไม่คาดคิดเลยว่าไอ้มนุษย์เห็นแก่ตัวคนนั้นจะกล้าถึงขนาดล่มโปรเจ็คใหญ่อย่างการทัวร์เอเชียครั้งแรกของKAT-TUNเพื่อไปออกงานเดี่ยวกลางคัน มิหนำซ้ำยังทิ้งท้ายด้วยคำขอโทษสั่วๆให้เขาเก็บเอาไปจำจนวันตาย
“คาเมะ นั่งเงียบอยู่ทำไม.... พูดอะไรบ้างสิ จะด่าไอ้หมอนี่ให้มันไข้ขึ้นไปสามวันเจ็ดวันเลยก็ได้ วันนี้ฉันจะไม่ห้ามนาย!!!!”
คนเพียงคนเดียวซึ่งนั่งนิ่งไม่ยอมพูดอะไรมาตั้งแต่เริ่มต้นการประชุมถูกลากเข้ามาเป็นตัวละครภายในบทสนทนาตามแรงอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ สายตาทุกคู่จ้องมองไปยังน้องเล็กของวงเป็นทางเดียวกันท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งคนที่ต้องการและไม่ต้องการให้เด็กหนุ่มระบายความในใจออกมา.... ดวงตาเรียวรีซึ่งแดงช้ำและบวมเป่งเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมของชายคนรักอยู่ครู่หนึ่ง ภาพความทรงจำจากเหตุการณ์เมื่อหลายคืนก่อนผุดขึ้นข้างในห้วงสติสัมปชัญญะ หัวใจยังคงเจ็บร้าวทุกครั้งที่สัมผัสรับรู้ได้ถึงความเมินเฉยเย็นชาซึ่งผัดพ่านเข้ามาหลังจบสิ้นคำขอโทษที่เปล่งดังแข่งกับเสียงหวีดหวิวของสายลมหนาวเหน็บยามรุ่งสางนั้น ในเมื่อจินไม่ได้มีความคิดที่จะพูดอะไรมากมายเกินไปกว่าการบอกว่าจะไปอเมริกาเพื่อทำตามความฝันโดยไม่แยแสว่าจะต้องแลกเปลี่ยนหรือสูญเสียอะไรไปบ้าง เพราะฉะนั้น ตัวเขาเองก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลืองน้ำลายโดยเปล่าประโยชน์เช่นเดียวกัน
“ขอโทษนะ ทัตจัง.... แต่ฉันเองก็คงพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้”
“ใช่สิ.....ขนาดจอห์นนี่ซังยังไม่กล้าว่าลูกรักสักคำเลยนี่ นายมันเป็นแค่แฟน จะไปมีปัญญาดุด่าว่ากล่าวอะไรท่านเทพเจ้าแห่งดนตรีได้ล่ะ!!!!!” อุเอดะแค่นน้ำเสียงประชดเพราะเข้าใจไปเองว่าคาเมะเลือกที่จะอยู่ข้างจินไม่ยอมพยักหน้าเออออไปกับเขาเหมือนเคย ทั้งที่ก็เห็
นกันอยู่ตำตาว่าใครที่มันสมควรจะถูกชี้นิ้วประณามมากที่สุดหากงานใหญ่ของKAT-TUNต้องหยุดชะงักลง จนทุกอย่างนั้นเริ่มบานปลายเกินกว่าที่ใครจะทันคาดการณ์เมื่อชื่อของท่านประธานกำลังถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแดกดันให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกเจ็บปวด
โครม!!!!!!!
ฝ่าเท้าใหญ่ภายใต้รองเท้าบูทหนังแกะสีเบจถีบเก้าอี้เคราะห์ร้ายซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทกระเด็นไปอีกทางก่อนที่ร่างหนาของนักร้องหนุ่มที่ถูกเพื่อนร่วมวงตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจจะลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกไปจากห้องประชุมชนิดไม่พูดพล่ามทำเพลง ปล่อยเมมเบอร์ที่เหลืออยู่ให้สะสางปัญหากันเองโดยที่ตัวเขาจะไม่ขอรับรู้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวใดๆของKAT-TUNอีก....
นากามารุขมวดคิ้วก้มหน้านิ่งด้วยความตึงเครียดที่เกาะกุมจนรู้สึกปวดประสาทขั้นสูงสุด อุเอดะยังคงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงกระแทกตัวลงบนเก้าอี้นั่งกอดอกไขว่ห้างอย่างไม่สบอารมณ์สุดขีด ทานากะและทางุจิได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ในขณะที่คาเมะนาชิเม้มริมฝีปากแน่นไม่แม้แต่จะแก้ต่างให้กับอาคานิชิ จินหรือพูดอะไรเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจขึ้น สมาชิกทั้งห้าของกลุ่มไอดอลชื่อดังปล่อยเวลาให้ผ่านล่วงเลยไปนานร่วมครึ่งชั่วโมงโดยไม่มีใครคนใดเสนอทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเมื่อจำต้องเสียเมมเบอร์คนสำคัญไปหนึ่งในการออกทัวร์คอนเสิร์ตต่างประเทศครั้งแรกอย่างกะทันหัน หัวหน้าวงซึ่งแก่อาวุโสที่สุดจึงออกหน้าตัดสินใจแทนเพื่อนพ้องที่เหลือด้วยการสั่งเลิกประชุมจนกว่าสถานการณ์จะอึมครึมน้อยกว่านี้
“บรรยากาศไม่ค่อยดีแล้ว เอาไว้คราวหน้าค่อยมาคุยเรื่องคอนเสปท์กันใหม่ก็แล้วกันนะ.... สลายตัวเถอะ ใครมีงานอื่นก็แยกย้ายกันไปทำซะ”
“เฮ้ย..........คาเมะ?”
ยูอิจิเรียกชื่อน้องเล็กประจำวงด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นอีกฝ่ายคว่ำหน้าฟุบลงไปนอนกองกับโต๊ะฟอร์ไมก้าสีน้ำตาลคล้ายหมดเรี่ยวแรงจนทำอะไรอื่นต่อไปไม่ไหว แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่คาเมะเผลอแสดงความอ่อนแอออกมา ร่างขาวจัดซึ่งติดออกจะซีดเซียวผิดปกติฝืนลุกขึ้นยืนทั้งที่แสนเหนื่อยล้าเต็มทนก่อนจะคว้ากระเป๋าสัมภาระและเสื้อโค้ทกับผ้าพันคอเตรียมตัวเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ตามตารางนัดหมาย
“ฉันมีคิวถ่ายละครตอนหลังเที่ยง.... ขอตัวก่อนนะ”
“ไหวหรือเปล่าเนี่ย หน้าตานายเหมือนคนอดนอนมาทั้งคืน?”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก.... นายไปคุยกับจินเถอะ ตอนนี้หมอนั่นคงอยากได้ใครสักคนที่ใจเย็นพอให้ปรับทุกข์ด้วย”
ใบหน้าอ่อนใสยิ้มจางแต่ก็ยังเก็บซ่อนความเสียใจเอาไว้ไม่มิด ถึงแม้ว่าปากจะบอกให้ยูอิจิทำหน้าที่หัวหน้าวงที่ดีด้วยการหันไปใส่ใจดูแลความรู้สึกของคนซึ่งเพิ่งจะทำร้ายตนเองอย่างแสนสาหัส แต่ทุกคนต่างก็รู้อยู่เต็มอกว่าถ้าหากเรื่องนี้จะทำให้ใครสักคนต้องเป็นทุกข์ คนๆนั้นก็คงหนีไม่พ้นคาเมะนาชิ คาซึยะที่ทั้งรักและผูกพันกับอาคานิชิ จินมากกว่าKAT-TUNเมมเบอร์คนอื่นๆ
“เอาไว้จะโทรหานะ คอยรับสายด้วยล่ะ”
“อืม.... ขอบใจมากนะ ทุกคน บาย”
ร่างเล็กก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะบอกลาเพื่อนร่วมวงแล้วก้าวออกจากห้องประชุมไปท่ามกลางสายตาของT-TUNที่มองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าเรื่องทัวร์เอเชียของKAT-TUNจะเป็นปัญหาใหญ่ที่พวกเขาต่างก็แก้ไม่ตก แต่สภาพจิตใจของคาเมะซึ่งดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน.... อย่างน้อยพวกเขาสี่คนก็หวังจะเห็นคาเมะอาละวาดเหวี่ยงไอ้จินให้กระเด็นติดข้างฝามากกว่านั่งซึมเศร้าฝืนยิ้มอยู่แบบนี้
“วันนี้จะไหวไหมเนี่ย เจ้าคาเมะเอ๊ย............”
ทานากะ โคคิรำพึงรำพันเสียงอ่อยถึงเพื่อนซี้ตัวเล็กซึ่งเพิ่งเดินออกไปด้วยสภาพไม่ต่างจากคนถูกสูบวิญญาณ ชายหนุ่มร่างสันทัดลุกขึ้นเดินวนเวียนไปมาในห้องพลางถอนหายใจบ้าง ยกมือยกไม้ขยี้เส้นผมสีดำสนิทบ้างอย่างกลัดกลุ้มกระวนกระวาย ไม่เหมือนทางุจิ จุนโนะสุเกะซึ่งขอยุติความเครียดส่วนบุคคลด้วยการเอาเครื่องPSPออกมาเล่นฆ่าเวลา พร้อมปล่อยคำพูดวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งสงบลงที่ไม่ว่าใครฟังแล้วก็คงขำไม่ออก
“แบบนี้เขาเรียกว่า มี-ผัว-ผิด-คิด-จน-ตัว-ตาย”
“ไอ้ปากเสีย!!!!!!”
ยูอิจิและโคคิประสานทั้งคำด่าและฝ่ามือฟาดลงกลางศีรษะของยีราฟหน้ายิ้มปากกรรไกร ส่งผลให้เจ้าตัวเบ้หน้านิดๆก่อนจะหันกลับไปจดจ่ออยู่กับหน้าจอวิดิโอเกมส์แบบพกพาไม่สนใจเสียงรบกวนสมาธิรอบด้านอีก มีเพียงแค่อุเอดะเท่านั้นที่บ่นพึมพำเป็นเชิงเห็นด้วยกับวาทะเด็ดแห่งชาติของจุนโนะสุเกะ
.
.
“อรุณสวัสดิ์ คาเมะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินไม่บ่อยครั้งนักดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกขานให้คนซึ่งกำลังเดินตรงไปยังลานจอดรถต้องเหลียวหันกลับมามองอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไรนัก ดวงตาเรียวรีคู่สวยภายใต้แว่นกันแดดสีชาหรี่ลงเล็กน้อยยามเมื่อจำต้องเผชิญหน้ากับศัตรูคู่อาฆาตที่ยังไม่ยอมล้มหายตายจากไปจากชีวิตของตนเองเสียที มิหนำซ้ำยังจะยิ่งพบเจอกันถี่ขึ้นแปรผกผันกับความรู้สึกกึ่งเบื่อหน่ายกึ่งชังน้ำหน้าจนอยากจะหลีกหนีอีกฝ่ายให้ไกล แต่กระนั้น สามัญสำนึกของความเป็นไอดอลก็ย้ำเตือนให้คาเมะจำต้องรักษามารยาทกับเพื่อนร่วมสังกัดอย่างยามาชิตะ โทโมฮิสะ
“อรุณสวัสดิ์ ยามะพี.... จอห์นนี่ซังเรียกให้มาเหรอ?”
“ต้องมาคุยเรื่องงานโซโลใหม่ เดือนหน้าก็จะเริ่มเข้าห้องอัดแล้ว”
ยามะพีตอบคำถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์แจ่มใสเสียเต็มประดาผิดกับคู่สนทนาซึ่งมีฐานะเป็นคนรักของเพื่อนสนิทลิบลับ คาเมะพนักหน้าทำทีรับรู้ไปอย่างนั้นทั้งๆที่ใจจริงแล้วก็ไม่ได้นึกอยากใส่ใจว่าลีดเดอร์วงNEWSจะออกงานเดี่ยวอีกกี่สิบกี่ร้อยซิงเกิ้ลหรือจะฉุดกระชากเอาจินไปขึ้นคอนเสิร์ตอีกกี่หมื่นรอบ แล้วจึงเดินผ่านเลยหมายจะรีบไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปสตูดิโอของสถานีTBSให้ทันตามเวลา แต่ฝ่ายยามะพีก็ยังคงพยายามหาเรื่องชวนคุยไม่ยอมปล่อยให้ไข่ในหินของอาคานิชิ จินจากไปง่ายๆ
“ดีจังเลยนะ.... ในที่สุดไอ้จินมันก็เลือกได้สักทีว่าจะเอายังไงกับชีวิตตัวเองกันแน่”
“ดูท่าทางนายจะดีใจมากกว่าคนได้ไปอเมริกาเสียอีกนะ”
คิ้วเรียวขมวดมุ่นย้อนถามอย่างไม่ชอบใจนักกับท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่องแปลกพิกลที่อีกฝ่ายแสดงออกมาให้เห็น แต่ทว่า ยามะพีก็กลับเพียงโคลงศีรษะยักไหล่ราวกับกำลังจงใจแหย่ให้คาเมะโกรธและระเบิดอารมณ์ออกมา ด้วยเพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ไม่ใช่คนที่ความอดทนสูงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเป็นอะไรก็ตามซึ่งเกี่ยวข้องกับอาคานิชิ จิน
“แหงล่ะ ก็เพราะสถานะของฉันกับนายมันต่างกันนี่นา”
น้ำเสียงท้ายประโยคเจือปนมาด้วยกระแสขบขัน ชายหนุ่มร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งเดินเข้ามาประชิดถึงตัวไอดอลหน้าหวานคนสำคัญของKAT-TUN แว่นตากันแดดกรอบหนาของGucciถูกถอดออกเผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มส่อแววยิ้มเยาะดูถูกดูแคลนคู่สนทนาด้วยกิริยา ก่อนที่เขาจะเปล่งถ้อยคำถามเชิงตำหนิกระทบกระแทกใส่คาเมะเต็มเหนี่ยวทั้งที่สีหน้านั้นยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนผิดกับการกระทำราวหน้ามือกับหลังมือ
“ความรักที่ทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวนี่มันไม่ดีเลยนะ นายไม่คิดแบบนั้นบ้างเลยเหรอ.... เทอเทิลจัง?”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าความรักที่ทั้งสองฝ่ายมีให้กันมันลึกซึ้งมากขนาดไหน.... บางครั้งสิ่งที่นายเรียกว่าความเห็นแก่ตัวมันอาจจะเป็นเพียงแค่ความห่วงใยระหว่างคนสองคนที่คนภายนอกไม่มีทางเข้าใจก็ได้”
“แล้วนายกับจินลึกซึ้งกันมากถึงขั้นต้องเกาะติดตลอดเวลาแล้วคอยถ่วงความเจริญของอีกฝ่ายหรือเปล่า?”
“ทำไมนายไม่ไปถามเพื่อนซี้ดูเอาเองล่ะว่าตอนที่หมอนั่นบอกว่าจะไปอเมริกา ฉันเคยรั้งเขาเอาไว้สักคำไหม?”
คาเมะโต้ตอบทันควันพยายามควบคุมบังคับกล้ามเนื้อบนใบหน้าให้สงบนิ่งเข้าไว้ มือข้างที่จับสายกระเป๋าสะพายหนังจิกกำแน่นจนปลายเล็บแทบฝังลงในผิวเนื้อแต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย อยากได้ทุกส่วนในร่างกายนี้ด้านชาหรือแข็งเป็นก้อนหินไปเสียก่อนที่เขาจะพลั้งมือทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมสังกัด
“หมดธุระแล้วใช่ไหม ฉันต้องรีบไปทำงาน?”
ร่างเล็กถามตัดบทอย่างไม่คิดจะอยู่รอฟังคำถามพลางก้าวเท้าจ้ำเร็วกลับไปยังทิศทางที่รถของตนเองจอดอยู่ หากทันใดนั้นเองที่เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสกลิ่นน้ำหอมชวนคลื่นเหียนที่ลอยเข้าปะทะประสาทสัมผัสจนวิงเวียน ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นชื้นจะถือวิสาสะแตะต้องลงบนผิวแก้มขาว ท่ามกลางสายตาของผู้คนแถวนั้นที่มองภาพเหตุการณ์จากที่ไกลๆ และแม้กระทั่งตัวของคาเมะเอง
“เอาไว้เราค่อยเจอกันใหม่นะ ชูจิของฉัน”
สายน้ำเย็นจัดจากหัวก๊อกสแตนเลสถูกวักขึ้นรดบนใบหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับจะชะล้างภาพความทรงจำเมื่อช่วงสายของวันให้เลือนรางจางหายไปจากหัวสมอง ทั้งคำขอโทษของจิน เสียงเอ็ดตะโรโวยวายของอุเอดะ ตลอดจนคำพูดเยาะเย้ยและรอยจูบน่าขยะแขยงของยามะพี ทุกอย่างทับถมรวมกันเป็นก้อนอารมณ์ขมุกขมัวในหัวใจอย่างที่มิอาจปล่อยวาง.... หน้าที่การงานซึ่งดูเหมือนจะเกิดปัญหาใหญ่และความรักที่ต้องพบพานอุปสรรคอีกครั้งกำลังบั่นทอนจิตใจของเด็กหนุ่มให้ท้อถอยต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ถาโถมเข้าหาอย่างกะทันหัน ถึงแม้จะอยากร้องตะโกนมากแค่ไหนก็ต้องอดทนเก็บเอาไว้ในใจเพียงลำพัง โดยไม่สามารถรู้ได้เลยว่าความทุกข์เหล่านี้จะดำเนินต่อเนื่องยาวนานไปจนถึงเมื่อไร หรือว่ามันอาจจะไม่มีทางสิ้นสุดลงเลยก็เป็นได้ตราบใดที่เขาและอาคานิชิ จินยังมีความสัมพันธ์ฉันท์คนรัก
“คาซึยะ..........”
“อุจิเองเหรอ?”
คาเมะเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากอ่างล้างหน้าภายในห้องอาบน้ำของสตูดิโอสถานีโทรทัศน์TBS ท่อนแขนผอมบางของอุจิ ฮิโรกิโอบรอบเอวของร่างตรงหน้าแล้ววางสันคางมนซ้อนไว้บนหัวไหล่จากทางด้านหลัง กอดปลอบโยนตามประสาเพื่อนสนิทที่เมื่อมองเห็นอีกฝ่ายกำลังเดือดเนื้อร้อนใจก็มิอาจทำนิ่งเฉยได้ลงคอ
“ฉันรู้เรื่องทั้งหมดจากเรียวจังแล้ว.... อย่าคิดมากเลยนะ”
“ก็ไม่ได้คิดอะไรมากสักหน่อย”
“แต่สีหน้าคาซึยะมันฟ้องว่ากำลังเสียใจอยู่นี่นา”
ไอดอลน้องเล็กของKAT-TUNฝืนยิ้มจืดชืดให้กับฮิโรกิหวังจะตบตาไม่ให้คู่สนทนาสังเกตเห็นถึงความอ่อนแอของตนเองพลางคว้าเอาผ้าขนหนูเนื้อดีที่พาดแขวนเอาไว้ใกล้มือมาเช็ดคราบน้ำเย็นจัดบนผิวหน้าจนแห้งสนิท ภาพสะท้อนบนบานกระจกเงาบ่งบอกอย่างชัดเจนผ่านว่าตลอดระยะเวลาหลายคืนที่ผ่านมานั้น คาเมะถูกเซอร์ไพรส์วันเกิดของจินตามหลอกหลอนเล่นงานอย่างหนักหนาสาหัสเพียงใด หน่วยตาเรียวรีบวมเป่งแดงช้ำไม่สดใสเหมือนเคย แก้มซูบตอบลง ผิวพรรณขาวใสก็แลดูหม่นหมองจนช่างแต่งหน้าต้องรีบหาโลชั่นบำรุงให้เป็นการใหญ่ แต่กระนั้น ร่างเล็กก็ยังคงพยายามปฏิเสธว่าตัวเขาไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับการประกาศขอพักงานยูนิตของจิน
“มันไม่ใช่แบบนั้น พอดีว่ามีปัจจัยอย่างอื่นด้วย.... เรื่องไปทำงานโซโลที่อเมริกามันค่อนข้างกะทันหัน จินเขาก็แค่ยังเคลียร์ปัญหาที่ค้างอยู่ในวงไม่ลงตัว แต่ฉันกับหมอนั่นก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันหรอก”
“ถึงอย่างนั้นคาซึยะก็ไม่ได้อยากให้เขาไปใช่ไหมล่ะ?”
ฮิโรกิเดินตามคาเมะออกไปด้านนอกก่อนจะคว้าท่อนแขนของเพื่อตัวเล็กให้ไปหยุดนั่งคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวที่โซฟาในห้องพักนักแสดง.... ด้วยความสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัวจึงทำให้เพื่อนร่วมสังกัดอย่างอุจิรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างจินและคาเมะซึ่งถูกสั่งให้เก็บเป็นความลับเป็นอย่างดี หลายต่อหลายครั้งที่คนคู่นี้ต้องพบเจอกับอุปสรรคทั้งจากคำสั่งของท่านประธาน การรักษาภาพลักษณ์ต่อหน้าสาธารณชนจนทำให้แทบไม่มีโอกาสใช้ชีวิตส่วนตัวนอกเวลางานอย่างที่ใจปรารถนา แต่ทั้งสองคนก็สามารถผ่านมันไปได้ หากสำหรับเรื่องคราวนี้ซึ่งไม่ได้มีต้นสายปลายเหตุมาจากบุคคลภายนอก มันก็ช่างยากเหลือเกินที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่อยู่ภายในหัวสมองของนักร้องหนุ่มหัวนอกติสท์แตกว่านึกอย่างไรถึงได้เห็นงานเดี่ยวที่ทำแค่ชั่วครั้งชั่วคราวสำคัญกว่าจิตใจของคนที่เป็นแฟนกัน
“ฉันเองก็คิดว่าเรื่องความรักกับเรื่องงานมันไม่เกี่ยวกัน แต่อาคานิชิก็ใจร้ายกับคาซึยะมากเกินไป.... มีคนที่รักเขามากขนาดนี้อยู่ข้างตัวแล้วแท้ๆ แทนที่จะรักษาเอาไว้อย่างดีก็กลับทิ้งขว้างเหมือนไม่เห็นคาซึยะมีความหมาย เป็นแค่ของตายที่จะใช้จะเก็บเมื่อไรก็ได้ยังไงยังงั้นเลย”
“จินเขาเป็นประเภทจัดลำดับความสำคัญว่าอะไรควรมาก่อนหรือหลัง เขาก็คงคิดว่ามันเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่ปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้น่ะ”
คาเมะพูดตอบพลางถอนหายใจหนัก จะว่าไปแล้วเขาก็คิดว่าตนเองรู้จักนิสัยใจคอของผู้ชายคนนั้นอย่างทะลุปรุโปร่งจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะนึกคาดเดาเหตุผลในการตัดสินใจเลือกที่จะไปอเมริกามากกว่าอยู่กับKAT-TUNได้ แต่นั่นก็ย่อมหมายความว่าแม้แต่คาเมะนาชิ คาซึยะซึ่งเป็นคนรักก็ไม่ได้สำคัญเทียบเท่ากับชื่อเสียงและความก้าวหน้าที่ชายหนุ่มจะได้รับ... ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลวูบโหวงในอกชวนให้กระอักกระอ่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไรพิกล
“แล้วคาซึยะได้บอกอาคานิชิหรือเปล่าว่าจริงๆแล้วไม่ได้อยากให้เขาไป บางทีหมอนั่นก็อาจจะแค่จัดลำดับผิดเพราะความไม่รู้ก็ได้?”
“เรื่องแบบนี้ ยิ่งเป็นคนรักกันก็ยิ่งควรต้องพูดออกไปไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่อยากให้เขาไปก็รั้งเขาเอาไว้สิ บอกให้คนทึ่มๆอย่างหมอนั่นรู้ว่าคาซึยะต้องการเขามากแค่ไหน ฉันคิดว่ามันดีกว่าเก็บความทุกข์เอาไว้กับตัวเองคนเดียวแล้วทนมองดูคนที่เรารักค่อยๆห่างออกไปทุกทีนะ.... ความรักน่ะมันต้องมีความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่ายถึงจะถูก ไอ้ประเภทที่ยอมเจ็บเพื่อให้อีกฝ่ายได้ดีมีสุขน่ะมันมีแต่ในละครเท่านั้นแหละ”
ฮิโรกิจับมือของคาเมะเอาไว้พยายามย้ำเตือนให้คนฟังได้ตระหนักถึงทิศทางที่ควรจะเป็นของความรัก.... ร่างสูงโปร่งดึงเอาเพื่อนซี้ร่วมค่ายเข้ามากอดแน่นหมายจะแบ่งเอาเรื่องเศร้าในหัวใจที่เหมือนจะเข้มแข็งแต่กลับอ่อนไหวอยู่ลึกๆให้บรรเทาเบาบางลงไปบ้าง แต่ทว่า คาเมะก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเห็นคล้อยตามไปกับทฤษฎีความรักที่อุจิ ฮิโรกิพร่ำสอนเลย
“..............แต่ชีวิตจริงบางครั้งมันก็เหมือนละครที่เราเล่นนี่ละ”
“ให้จินไปน่ะดีแล้ว เดี๋ยวไปไม่รอดก็ซมซานกลับมาเองนั่นละ ฮะๆ”
ไอดอลหน้าส่งเสียงเจื่อนแค่นหัวเราะอย่างกล้ำกลืนฝืนทนก่อนจะลุกขึ้นยืนแสร้งทำบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายเตรียมพร้อมที่จะสวมบทเป็นทาคาโนะ เคียวเฮผู้เข้มแข็งเต็มที่ รอยช้ำใต้ตายังคงไม่เลือนหายเช่นเดียวกับรอยกรีดที่ฝังลึกลงข้างในหัวใจ แต่มันก็เปล่าประโยชน์ที่จะมัวคร่ำครวญเสียใจอยู่กับการกระทำของคนอื่นที่ตัวเขาไม่สามารถควบคุมบังคับได้ ความฝันของใคร คนๆนั้นก็ย่อมต้องเห็นว่ามันสูงค่า และทางออกเพียงอย่างเดียวสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็คือก้มหน้ายอมรับการตัดสินใจของจินไปเสียแต่โดยดี ขอเพียงแค่อย่ามีใครสะกิดบาดแผลที่ยังคงไม่หายสนิทให้เขาต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็พอ
“วันนี้ว่าจะทำแกงกะหรี่เลี้ยงพวกนายกับทีมงานสักหน่อย อุจิออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกับฉันนะ อยากได้คนช่วยหิ้วของน่ะ”
“คาซึยะ..........?”
อุจิ ฮิโรกิมองตามร่างในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตคลุมทับด้วยแจ็กเกตตัวนอกซึ่งทำเป็นร่าเริงขณะเดินออกไปทักทายทีมงานและเพื่อนนักแสดงคนอื่นๆราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่ในใจนั้นยังคงเต็มไปด้วยความทุกข์มากมายแต่คาเมะกลับเลือกที่จะโอนอ่อนตามความเห็นแก่ตัวของชายคนรักมากกว่ายึดเอาความต้องการของตนเองเป็นหลัก หากเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกให้ออกไปซื้ออุปกรณ์ข้างของสำหรับเตรียมอาหารด้วยกัน ฮิโรกิจึงทำได้แค่เพียงพยักหน้ารับแกนๆแล้วตามอีกฝ่ายไปนอกสตูดิโอโดยไม่คิดที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องของอาคานิชิอีก
บรรยากาศภายในไนท์คลับชื่อดังย่านรปปงงิในเวลาเกือบเที่ยงคืนยังคงคลาคล่ำไปด้วยนักเที่ยวจากหลายเชื้อชาติเหมือนเช่นเคย หนุ่มหล่อร่างสูงซึ่งเป็นลูกค้าประจำเบียดแทรกตัวผ่านฟลอร์ด้านนอกเพื่อเข้าไปยังโซนVIPที่โอนเนอร์ของสถานที่อโคจรแห่งนี้จัดเตรียมเอาไว้ให้กลุ่มของเขาและเพื่อนสนิทโดยเฉพาะ เสียงกรี๊ดกร๊าดอุทานอย่างตื่นเต้นของหญิงสาวหลายคนที่คงไม่พ้นเป็นพวกบ้าดาราตามมานั่งดูนักร้องค่ายจอห์นนี่ดังเซ็งแซ่ขึ้นรอบตัวยามเมื่ออาคานิชิ จินแห่งวงKAT-TUNนั่งลงบนโซฟามุมเดียวกับที่นิชิกิโด เรียวมาคอยอยู่ก่อน.... บุหรี่เซเว่นสตาร์เรโวกล่องน้ำตาลถูกหยิบออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วจุดสูบอัดเข้าปอดให้หายอยากทันทีเมื่อนักร้องหนุ่มแน่ใจว่าตนเองล่วงเข้ามาถึงโซนปลอดภัย นัยน์ตาคมกราดมองไปรอบๆบริเวณใกล้เคียงแต่ก็ไม่พบตัวบุคคลเป้าหมายก่อนจะหันไปถามย้ำคนด้านข้างเพื่อความแน่ใจ
“วันนี้ไอ้พีไม่มาใช่ไหม?”
“มีถ่ายละครมั้ง ไอ้เรื่องหมอเฮลิคอปเตอร์อะไรสักอย่างนั่นแหละ.... แต่ก็คงใกล้จบเต็มทีแล้ว”
“ก็ดี.... ไม่อยากเห็นหน้ามันสักพัก”
ร่างหนาหันไปสั่งเหล้ากับบริกรที่รับหน้าที่ดูแลโต๊ะของพวกเขาแล้วจึงบ่นเป็นเชิงคาดโทษถึงคนที่ถูกพาดพิงให้เรียวได้ฟัง.... เรื่องชวนหงุดหงิดตั้งแต่เมื่อคราวก่อนที่เจอหน้ายังไม่ทันจาง เจ้าเพื่อนตัวแสบก็ดันไปก่อวีรกรรมกวนประสาทคาเมะจนเกือบกลายเป็นประเด็นใหญ่โตในบริษัท ไม่ใช่ว่าจินจะเข้าข้างคนรักแล้วโยนความผิดให้เพื่อน แต่เพราะรู้มาโดยตลอดว่าสองคนนั้นไม่ถูกกัน คาเมะเป็นฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าเพื่อตัดปัญหาทุกรูปแบบ ในขณะที่ยามะพีมักถือว่าตัวเองเป็นเพื่อนสนิทของเขาแล้วนำเอาข้อได้เปรียบไปใช้ข่มคาเมะอยู่เสมอ หลายครั้งที่เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรกับการที่เพื่อนกับแฟนจะเพียงแค่ไม่ชอบหน้ากัน แต่สำหรับคราวนี้ สิ่งที่ยามะพีทำกับคาเมะมันล้ำเส้นมากเกินกว่าที่จินจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เหมือนเคยได้ลง
“อยู่ดีไม่ว่าดี ดันทะลึ่งไปหอมแก้มคาเมะกลางลานจอดรถ พวกสต๊าฟเอามาพูดกันให้แซ่ดทั้งตึก ขนาดทักกี้ยังรู้เรื่องเลย.... ไม่รู้นึกบ้าอะไรของมัน”
“พอกันแหละวะ เรื่องแกโดนอุเอดะด่ากระเจิงกลางห้องประชุมเมื่อเช้าก็โด่งดังใช่เล่นนี่”
ชายหนุ่มจากเมืองโอซาก้าพูดพลางยกวอดก้าโทนิคขึ้นจิบ ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันแห่งความวุ่นวายของKAT-TUNโดยแท้ หลังจากที่การเจรจาพูดคุยระหว่างสมาชิกในวงนั้นจบลงอย่างไม่ค่อยจะงดงามเท่าที่ควร น้องน้อยคาเมะก็มาถูกลีดเดอร์วงNEWSรังแกขโมยจูบจนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวไปทั่วบริษัท ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลกระทบมาจากการตัดสินใจทำงานแสดงคอนเสิร์ตในต่างประเทศของอาคานิชิ จิน ดังนั้น ความกลัดกลุ้มงุ่นง่านจึงต้องมาตกอยู่ที่เจ้าตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“บอกตามตรงก็โดนด่า ไม่บอกอะไรเลยก็โดนด่า โดนมันทั้งขึ้นทั้งล่อง เกิดมาเป็นอาคานิชิ จินใครว่าดี.... มีแต่เรื่องเฮงซวยตลอด!!”
เตอกีล่าเพียวๆรสชาติขมจัดถูกกระดกซดไหลผ่านลำคอหมดช็อตในรวดเดียวตามแรงอารมณ์ที่คุกรุ่นค้างมาตั้งแต่เช้า เสียงทุ้มห้าวสบถด่าเสมือนว่ากำลังน้อยใจตัดพ้อต่อว่าผู้คนรอบข้างที่ทำตัวใจแคบไม่ยอมรับฟังความต้องการของเขาบ้าง คำพูดเจ็บแสบของอดีตหัวหน้าวงอย่างอุเอดะ ทัตสึยะซึ่งเอาแต่ด่าชนิดเจ็ดวันไม่ซ้ำคำทันทีที่จินเกริ่นถึงแนวทางของตนเองในอนาคตจบยังคงลอยวนเวียนอยู่ในหัวสมอง ตอกย้ำว่าเขาเป็นคนเลวชั่วช้าเห็นแก่ตัวทั้งๆที่การมุ่งหน้าทำตามความฝันมันก็คงไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้น.... กับเพียงแค่พักงานในฐานะเมมเบอร์ของKAT-TUNและผิดสัญญาที่เคยรับปากกับเอาไว้คาซึยะ
“อ้าว.... แล้วใครใช้ให้แกอยากไปอเมริกาล่ะวะ แกอยากของแกเองไม่ใช่หรือไง ก็ต้องทนรับคำด่าจากคนที่เขาเดือดร้อนน่ะถูกแล้ว”
“ฉันไม่ได้ถ่อมาที่นี่เพื่อให้แกซ้ำเติมนะโว้ย นิดๆหน่อยๆก็หัดเออออเข้าข้างเพื่อนตัวเองบ้างสิวะ ไอ้เรียว!!!”
“โดนด่าแค่นี้ยังทนไม่ได้เลย ริจะโกอินเตอร์มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอวะ?”
นักร้องหนุ่มฝั่งคันไซยิ้มมุมปากเอ่ยทับถมเพื่อนรักชนิดซ้ำให้จุกจนไม่ต้องลุกขึ้นมาอีกเลย ส่งผลให้คนถูกถากถางหันมาจ้องหน้าเจ้าของวาจาเผ็ดร้อนตาขวางอย่างโกรธเคืองที่คู่สนทนาไม่ยอมเห็นแก่มิตรภาพพูดในสิ่งที่เขาอยากได้ยินในเวลานี้ แต่ทว่า ความหมายที่แฝงมากับประโยคถ้อยคำขวานผ่าซากตรงไปตรงมาของนิชิกิโด เรียวนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องของการแยกออกไปทำงานเดี่ยวซึ่งตัวศิลปินจำเป็นต้องมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจมากพอที่จะต้านทานต่อแรงกดดันจากสังคมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเท่าที่เขาประเมินคร่าวๆด้วยสายตา อาคานิชิ จินยังขาดคุณสมบัติข้อนี้อยู่
“งานโซโลมันก็เป็นเรื่องท้าทายแต่ถึงยังไงมันก็ต่างจากงานยูนิต”
“เวลาที่แกทำพลาด ถูกวิจารณ์ ถูกด่าแรงๆ แกก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีพวกพ้องที่จะเป็นเกราะกำบังให้กับข้อบกพร่องของแกหรือคอยออกหน้าปกป้องอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรกระทบเข้ามาก็ต้องรับมันเอาไว้ทั้งหมด.... หลังจากทำคอนเสิร์ตเดี่ยวมาแล้ว แกก็น่าจะเข้าใจเรื่องพวกนี้มากขึ้นนะ”
เหล้าแก้วที่สอง สามและสี่ทยอยลำเลียงมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อนักร้องหนุ่มเจ้าปัญหายังคงยกซดต่างน้ำต่อเนื่องโดยไม่คิดแตะต้องกับแกล้มรองท้อง แอลกอฮอลล์ดีกรีสูงละลายปนกับน้ำย่อยในกระเพาะเป็นผลให้อาการมึนเมาก่อตัวขึ้นเร็วกว่าปกติแต่ก็ยังคงมีสติสัมปชัญญะและสามารถควบคุมตัวเองได้.... เจ้าของใบหน้าหล่อจัดแดงก่ำเอนตัวพิงพนักโซฟาอย่างหมดสภาพ อากาศรอบด้านร้อนอบอ้าวจนต้องถอดเสื้อนอกออกวางพาดระเกะระกะเอาไว้แถวนั้น เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบตามสัญญาณชีพจรจนต้องหลับตาลงเพื่อบรรเทาความปวด แต่ทว่า ภาพสีหน้าอันบ่งบอกถึงความผิดหวังของเพื่อนร่วมวงขณะรู้ข่าวงานโซโลของเขา ตลอดจนแววตาเศร้าสร้อยของคาเมะในตอนเช้ามืดที่ระเบียงนอกห้องนอนหลังผ่านพ้นคืนวันเกิดก็กลับลอยเข้ามาแทนที่ภาพบรรยากาศแสงสีของไนท์คลับแห่งนี้
“แกคิดว่าฉันหักหลังKAT-TUNหรือเปล่า?”
“เจ้าพวกนั้นมันก็รู้ว่าการได้แสดงคอนเสิร์ตในต่างประเทศเป็นความฝันของฉัน ฉันไม่ได้อยากทรยศหรือทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย.... แล้วจะมาโกรธ มาโวยวายใส่ฉันทำไม ขนาดคาเมะที่ฉันหวังว่าอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเข้าใจเหตุผลทุกอย่างก็ยังไม่ยอมพูดกับฉันสักคำ!!??”
เสียงทุ้มห้าวติดออกจะโวยวายเล็กๆซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากสารพัดเหล้านานาชนิดที่ประโคมกรอกลงท้องอย่างไม่บันยะบันยัง ทุกเรื่องราวความวิตกกังวลและตึงเครียดถูกเปล่งออกมาตามความรู้สึกในใจ ห้วงความคิดมีแต่คำถามเดิมๆที่ไร้คำตอบว่าเพราะอะไรและทำไมตัวเขาถึงเป็นคนผิดในสายตาของทุกคน แม้กระทั่งคาเมะนาชิ คาซึยะซึ่งเคยน่ารักและเข้าอกเข้าใจแฟนหนุ่มเสมอมาก็กลับกลายเป็นเต่าสาลี่งี่เง่าเอาแต่ใจพูดจาไม่รู้ภาษา แต่ก็ต้องแลกมาด้วยฝ่ามือของเพื่อนสนิทที่ตบลงกลางศีรษะคนกึ่งเมาเมื่อจำเป็นต้องทำหน้าที่ออกปากอบรมสั่งสอนและให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตไปในตัว
“ก็ฉันเพิ่งบอกแกไปไงว่า ถ้าเลือกที่จะเดินทางนี้แล้วก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมาให้ได้ทั้งหมด”
“แกมีสิทธิ์ที่จะฝัน เจ้าพวกนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะฝันเหมือนกัน เพียงแต่ความฝันของเขามันต่างกับของแก.... เขาอาจจะอยากโด่งดังเป็นที่รู้จัก ออกแสดงคอนเสิร์ตทั่วโลกด้วยกันหกคนในฐานะที่เป็นKAT-TUN แล้วอยู่ดีๆแกก็กลับลำเบรคความฝันของทุกคนกลางคันทั้งๆที่วงเพิ่งได้อนุมัติโปรเจ็คทัวร์เอเชียเป็นครั้งแรก แบบนี้แกยังคิดว่าเจ้าพวกนั้นไม่สมควรโกรธอีกเหรอ?”
เรียวพยายามอธิบายในฐานะที่เป็นคนนอกซึ่งมองเหตุผลของทั้งสองฝ่ายอย่างยุติธรรมโดยไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร ถึงแม้ว่าอาคานิชิ จินจะเป็นเพื่อนสนิทของเขาก็ตาม ต่างจากยามะพีที่มองเรื่องนี้โดยยกตนเองเข้าไปอยู่ฝั่งเดียวกับจินและสนับสนุนถือหางเพื่อนอย่างเต็มตัว.... ถ้าจะพูดว่าKAT-TUNเป็นฝ่ายทำร้ายจินด้วยการไม่ซัพพอร์ทงานเดี่ยวของเพื่อนร่วมวง ก็คงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องสักเท่าไรนักในเมื่อตัวของจินเองก็สร้างความลำบากใจและความผิดหวังให้กับคนทางนั้นไม่น้อย ไม่รู้จะโทษใครดีระหว่างโอกาสทองที่เข้ามาอย่างผิดจังหวะ สายสัมพันธ์ภายในวงที่ไม่แน่นแฟ้นพอจะเหนี่ยวรั้งเมมเบอร์ตัวAเอาไว้ หรือความเห็นแก่ตัวของจินที่คิดว่าเรื่องส่วนตัวสำคัญกว่าเรื่องส่วนรวม สิ่งเดียวที่พวกเขาต่างรับรู้กันถ้วนหน้าในเวลานี้ก็คือรอยร้าวของKAT-TUNซึ่งยากจะประสานกลับคืนดังเดิมภายใต้สถานการณ์ที่แทบมองหน้ากันไม่ติด
“........แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนั้น.......ฉันก็แค่อยากทำงานที่ตัวเองอยากทำ.......ไม่ได้อยากให้ใครต้องเสียใจ”
“ก่อนหน้านี้แกก็ทำไปเยอะแล้วว่ะ แต่เอาเถอะ ในฐานะเพื่อน ฉันรู้ว่าแกก็คงไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
ข้อเสียของอาคานิชิ จินก็คือความไม่รู้จักยั้งคิด พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำแล้วค่อยกลับมานั่งคร่ำครวญเอาภายหลังว่าตัวเองไม่น่าทำเรื่องเหล่านั้นลงไป หลายครั้งที่เพื่อนสนิทของเรียวเผลอชักสีหน้าทำท่าทางเหมือนไม่เต็มใจร้องเพลงให้สัมภาษณ์ระหว่างออกรายการร่วมกับKAT-TUN เมื่อถูกอุเอดะหรือนากามารุตำหนิก็ฮึดฮัดไม่พอใจทั้งๆที่ก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด.... สำหรับเรื่องคราวนี้ก็คงเช่นเดียวกัน เมื่อสัญญาการร่วมงานกับUTBระยะเวลาหกเดือนสิ้นสุดลง และจินกลับมาอยู่กับKAT-TUN ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นปัญหาในวันนี้ก็คงสามารถคลี่คลายไปในทางที่ดีได้เอง
“ทางเลือกสำหรับเรื่องนี้มันมีแค่สองทาง ไม่แกเจ็บเสียเองก็KAT-TUNที่เหลืออีกห้าคนเจ็บ.... ในเมื่อแกเป็นคนเลือกที่จะทำให้คนอื่นเจ็บเพื่อปกป้องความฝันของตัวเองแล้ว ก็ไม่ควรโวยวายเหมือนว่าเจ้าพวกนั้นผิดอีก”
“จะไปก็ไปให้มันสง่าผ่าเผยหน่อย ยังไงก็เพื่อนกันทั้งนั้น”
คนฟังพยักหน้าเป็นเชิงบอกเข้าใจในคำแนะนำของอีกฝ่าย หากก็ยังคงหลงเหลือตะกอนขุ่นมัวในหัวใจอีกหนึ่งก่อนใหญ่ที่หาทางระบายออกไม่ได้.... ในฐานะเพื่อนร่วมยูนิต จินก็คงปฏิบัติต่อคาเมะเหมือนกันกับพวกT-TUNก็คือขอโทษที่ทำให้ต้องลำบากและวุ่นวายเพราะการตัดสินใจรับงานโซโลอย่างกะทันหันของเขา แต่ในฐานะแฟนแล้ว เขาจะขอให้คาเมะนาชิ คาซึยะยอมรับการถูกทอดทิ้งครั้งที่สองและการผิดคำสัญญาของชายคนรักได้อย่างไรกัน?
“แล้วกับเทอเทิลล่ะ เอาไงดีวะ?”
“เรื่องอะไรมาถามฉันเล่า.... เมียแก แกก็จัดการเองสิ?”
นิชิกิโด เรียวหรี่นัยน์ตาลงมองเจ้าของคำถามอย่างนึกตำหนิ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมสังกัดอายุใกล้เคียงกันแต่เรียวก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับคาเมะมากมายจนถึงขนาดหยั่งรู้ได้ว่าฝ่ายโน้นกำลังรู้สึกนึกคิดเช่นไร หากว่าจินที่เป็นแฟนคบหากันมานานหลายปีดีดักยังจนปัญญา ก็คงไม่มีใครคนไหนบนโลกนี้สามารถหยั่งรู้จิตใจของไอดอลหน้าหวานตัวเล็กคนนั้นได้อีกแล้ว แต่จนแล้วจนรอด หนุ่มคันไซก็ยังต้องชี้แนะแนวทางให้คนตัวโตหัวทึบได้เก็บเอาไปคิดหาวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง ทั้งที่ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าหัวสมองของคนที่เพิ่งซัดทั้งเตอกีล่า วอดก้าและเหล้าสีไปชนิดแทบนับแก้วไม่ถ้วนจะซึมซับเนื้อความเข้าไปได้มากน้อยเพียงใด
“ไม่มีใครชอบเรื่องเซอร์ไพรส์ในทางลบหรอก แกก็คงต้องให้เวลาเขาทำใจอีกสักพัก กลับไปคุยกันดีๆพูดด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์เด็ดขาด.... ถึงคาเมะจะชอบวางท่าเป็นผู้ใหญ่เกินตัวต่อหน้าคนอื่น แต่เท่าที่เห็นกันมา เมียแกมันก็ยังนิสัยเด็กอยู่ในหลายๆเรื่อง ก็คงจะงอนไปตามประสาแหละมั้ง”
“แต่ฉันเชื่อนะว่าถ้าคาเมะรักแกจริง เรื่องแค่นี้เขาก็ต้องเข้าใจและยอมรับได้.... รักก็ส่วนรัก งานก็ส่วนงาน ถ้าไม่รู้จักแยกแยะให้ออกก็ไม่มีทางไปกันได้ตลอดรอดฝั่ง”
....................
..............................
“นั่นสินะ.... ถ้าคาซึรักฉันจริง เขาก็ต้องยอมรับได้”
เสียงปลดล็อคประตูห้องพักส่วนตัวของคาเมะนาชิ คาซึยะดังขึ้นตอนช่วงเกือบตีสามอันเป็นเวลาส่วนตัวที่ผู้คนทั่วไปกำลังนอนหลับพักผ่อน ร่างสูงใหญ่ซึ่งคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดีผลักแผ่นบานไม้หนาแล้วเดินเข้าไปบริเวณด้านในโดยไม่จำเป็นต้องรอรับคำอนุญาตจากเจ้าของห้องอย่างถือสิทธิ์ความเป็นคนรักซึ่งสามารถเข้านอกออกในได้ทุกเวลาที่ต้องการด้วยคีย์การ์ดที่อีกฝ่ายมอบให้.... ริมฝีปากหนาสีคล้ำซึ่งแห้งผากเพราะอาการขาดน้ำยกยิ้มพึงใจเมื่อมองเห็นร่างขาวจัดนั่งชันเข่าอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์จอใหญ่ ในมือยังคงถือปึกกระดาษเย็บเล่มขาดA4รูปร่างหน้าตาเหมือนสมุดรายงานที่เขียนหน้าปกเอาไว้ว่าสำหรับทาคาโน เคียวเฮพลางท่องบ่นพึมพำตามเอาท์ไลน์ซึ่งขีดเน้นข้อความด้วยปากกาไฮไลท์ แม้นักร้องหนุ่มซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นทั้งเพื่อนร่วมวงและแฟนหนุ่มจะมาหยุดยืนห่างออกไปไม่ใกล้ไม่ไกล หากคาเมะก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากบทละครหรือหันมาให้ความสนใจใดๆต่อผู้มาเยือนยามวิกาลราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นไร้ตัวตนโดยสิ้นเชิง
“ยังท่องบทอยู่อีกเหรอ?”
“ขยันจัง.... ดึกมากแล้วนะ”
กลิ่นเหล้าซึ่งปะปนคละคลุ้งในลมหายใจของอาคานิชิ จินน่าสะอิดสะเอียนพอกันกับกลิ่นน้ำหอมของยามะพีจนคาเมะต้องเบือนหน้าหนีเบี่ยงหลบขณะที่ร่างหนาพยายามดึงเอาตัวเข้าไปกอดหอมแก้ม.... ความโกรธเคืองและผิดหวังเสียใจกับการกระทำของชายคนรักยังคงสะท้อนอยู่ในอกพาลให้เด็กหนุ่มไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ใบหน้าน่ารักยังคงก้มลงมองแถวตัวอักษรบนกระดาษทั้งที่จิตใจนั้นว้าวุ่นจนอ่านไม่รู้เรื่อง แต่มันก็ดีกว่าการสบสายตากับใครคนหนึ่งซึ่งเพิ่งทรยศหักหลังทุกคนในKAT-TUNแล้วยังกล้าทำทีมาคุยเล่นกับเขาเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
“ก็เพราะฉันมีความรับผิดชอบต่องานของตัวเองมากพอน่ะสิ”
“ประชดฉันเหรอ?”
“เปล่า”
น้ำเสียงเรียบเฉยเย็นชาหากแต่แฝงเอาไว้ด้วยกระแสแห่งความขุ่นข้องหมองใจถูกส่งผ่านกลับมาหลังจินเอ่ยถามถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่ารับผิดชอบที่คาเมะกล่าวถึง ความรู้สึกไม่พอใจค่อยๆตีตื้นขึ้นมาสวนทางกับสติสัมปชัญญะซึ่งหายไปกว่าครึ่งค่อนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ที่ชายหนุ่มโหมดื่มต่อเนื่องนานหลายชั่วโมง แต่อาคานิชิ จินก็ยังพอสามารถข่มระงับความโกรธแล้วตามงอนง้อคนรักเหมือนอย่างที่เคยทำ
“ไม่เอาน่า.... หมู่นี้ยิ่งหาเวลาเจอกันยากอยู่ เราสองคนอย่าทะเลาะกันเพราะเรื่องพวกนั้นเลยดีกว่านะ”
ท่อนแขนแกร่งยังคงไม่ลดละความพยายามในการเหนี่ยวรั้งคนใจแข็งดื้อด้านเข้ามาโอบกอด ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่มีวี่แววว่าอยากโอนอ่อนผ่อนตาม กลีบปากกระด้างแนบจูบลงด้านข้างพวงแก้มอิ่มก่อนจะออกแรงดันคนตัวเล็กกว่าให้นอนหงายราบบนโซฟาอย่างไม่นำพาต่อแรงทุบถองไม่เบานักจากมือของคาเมะ.... ยิ่งหนุ่มน้อยหน้าหวานดิ้นรนมากเท่าไร เรี่ยวแรงของคนซึ่งได้เปรียบทางกายภาพก็ยิ่งโหมทาบทับหนักหน่วง ราวกับว่าทั้งร่างกายและหัวใจถูกบีบบังคับให้จำนนต่อความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้อยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่แยแสว่าใครจะรู้สึกนึกคิดอย่างไรหรือเจ็บปวดมากแค่ไหนของจิน และมันก็กำลังทำให้ขีดจำกัดความอดทนของคาเมะนาชิ คาซึยะขาดสะบั้นลงในที่สุด
“ปล่อยฉัน.... จิน!!!”
“บอกให้ปล่อยยังไงเล่า!!!!!”
“............คาซึ?”
ร่างหนาถูกผลักไสออกห่างอย่างไร้เยื่อใยพร้อมด้วยเสียงร้องตะโกนขัดขืนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คาเมะลุกขึ้นจากเบาะที่นั่งทั้งที่ผืนอกภายใต้เสื้อเสว็ตเตอร์ตัวหลวมกระเพื่อมไหวเหมือนกำลังหอบหายใจรุนแรง หน่วยตาเรียวรีฉายชัดถึงความโกรธจัดซึ่งมากมายมหาศาลยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ผิวเนื้อบริเวณแก้มและซอกคอที่ถูกอีกฝ่ายจ้วงจูบโดยไม่เต็มใจร้อนผ่าวเช่นเดียวกับเลือดในกายซึ่งระอุขึ้นด้วยแรงโทสะจนต้องใช้ความพยายามถึงที่สุดเพื่อบังคับร่างกายและน้ำเสียงของตนเองไม่ให้สั่น.... ถึงแม้ว่าเขาจะตัดสินใจยอมรับการจากไปของจิน หากมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะด้านชาจนหมดความรู้สึก สิ่งเดียวที่หัวสมองสั่งการอยู่ในขณะนี้ก็คือทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้จินออกไปให้พ้นหน้า เพื่อที่พวกเขาสองคนจะได้ไม่ต้องทะเลาะ ไม่ต้องพูดคุยเรื่องอะไรซึ่งจะยิ่งส่งผลให้หัวใจเจ็บมากกว่าไปที่เป็นอยู่
“ฉันจะนอนแล้ว คืนนี้นายกลับห้องตัวเองไปเถอะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ คาซึ!!! คาซึ!!!!!!!”
จินก้าวเท้าเร็วตามหลังคาเมะไปก่อนที่บานประตูห้องนอนจะกระแทกลงกรอบต่อหน้าต่อตาเมื่ออีกฝ่ายตัดบทจบทุกอย่างลงด้วยการเอ่ยปากไล่เขาออกจากแมนชั่น มือใหญ่ดันบานไม้สีน้ำตาลเข้มให้เปิดอ้าออกต้านทานแรงจากทิศทางตรงข้ามซึ่งพยายามจะปิดมันลงให้จงได้.... เมื่อต่างฝ่ายต่างปล่อยให้ขึ้นอารมณ์ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดตีตื้นขึ้นมามีอิทธิพลเหนือสติสัมปชัญญะ ความตั้งใจที่จะงอนง้อหรือไม่ทะเลาะก็พังทลายลง หลงเหลือเพียงความรู้สึกอยากเอาชนะ อยากให้อีกฝ่ายยอมรับฟัง ยอมทำตามความต้องการของตนเองโดยลืมคำนึงว่าผลลัพธ์ของการหักหาญน้ำใจซึ่งกันและกันนั้นเป็นเช่นไร
“โธ่เว้ย!!!!!”
“........!!!!..........”
การต่อสู้ยืดเยื้อและจบลงด้วยเสียงสบถอย่างเหลืออดของอาคานิชิ จินก่อนที่เขาจะเงื้อเท้ายกขึ้นถีบประตูห้องนอนของคนรักอย่างไม่นึกสนใจแล้วว่าอะไรจะได้รับความเสียหายบ้าง ร่างสูงแทรกกายผ่านเข้าไปยังด้านในทันทีที่เด็กหนุ่มเจ้าของห้องผงะถอยเพราะแรงกระแทกระลอกใหญ่เกินกว่าจะสามารถต้านทาน.... นัยน์ตาสีดำสนิทแข็งกร้าวจับจ้องเค้าหน้าสวยน่ารักที่มองสบสายตาตอบกลับอย่างไม่ลดราวาศอกและไม่ยอมอ่อนข้อให้เหมือนเช่นเคย ความรักซึ่งเคยหวานหอมพลันสูญสลายเหือดแห้งเมื่อเส้นทางความฝันสองสายที่ไม่มีวันหวนมาบรรจบกันค่อยๆนำพาเอาหัวใจสองดวงให้แยกห่างออกจากกันไปทุกชั่วขณะ
“เลิกเอาแต่ใจตัวเองแล้วฟังเหตุผลของคนอื่นเขาบ้างจะได้ไหม!!??”
“นายมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน!!??”
“ทั้งๆที่จินเป็นฝ่ายทิ้งฉันก่อน แล้วทำไมฉันถึงต้องกลายเป็นคนที่ถูกนายต่อว่า ถูกบรรดาเพื่อนฝูงของนายตามมาชี้นิ้วด่าว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว คอยถ่วงความเจริญ แถมยังเกาะติดนายตลอดเวลาด้วย!!!??”
คาเมะโต้ตอบข้อกล่าวหาที่จินว่าร้ายใส่เขาอย่างไม่ยุติธรรมทันควัน ไม่อยากเชื่อหูตนเองเลยด้วยซ้ำว่านอกจากยามะพีซึ่งไม่ชอบหน้าเขาอยู่ก่อนด้วยอคติส่วนตัวแล้ว จะยังมีใครหน้าไหนคิดว่าคนอย่างคาเมะนาชิ คาซึยะนั้นเป็นประเภทเอาแต่ใจตนเองจนไม่ยอมรับฟังเหตุผลของผู้อื่น เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาสู้อุตส่าห์อดทนอดกลั้นกับเรื่องของจินมามาก.... อยากไปก็ให้ไป อยากทำอะไรก็ไม่เคยห้าม ในเมื่อเขาไม่มีสิทธิ์ห้ามจินไม่ให้ไปอเมริกา จินเองก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับให้เขาปั้นหน้ายิ้มแย้มพูดจาฉอเลาะไม่ทุกข์ไม่ร้อนเช่นกัน หากดูเหมือนว่าชายคนรักซึ่งกลับกลายมาเป็นคู่กรณีจะไม่คิดแบบนั้น
“ถ้าไม่อยากถูกใครเขาด่าก็เลิกทำหน้าเหมือนว่าฉันกำลังทรมานนายเสียที.... อยากพูดอะไรก็พูดออกมาเลยดีกว่า!!!!”
ถึงแม้จะตระหนักดีว่าการตัดสินใจอย่างกะทันหันของตัวเองได้ส่งผลกระทบต่อทั้งชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงานของผู้คนรอบข้างอยู่ไม่น้อย แต่การกระทำของคาเมะก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญและเบื่อหน่ายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะจินเองก็ไม่ได้คาดหวังถึงขนาดว่าคาเมะจะต้องยิ้มแย้มหัวเราะร่าเริงกับข่าวคราวงานโซโลและการอยู่ห่างไกลกันกว่าครึ่งปี หากอีกฝ่ายกลับเอาแต่ทำสีหน้าเหมือนโลกจะแตกในวันพรุ่งนี้ โดยที่ปากยังคงพูดซ้ำซากว่าไม่เป็นไรเพื่อรักษาภาพพจน์ไอดอลยอดนิยมแต่ก็มิวายแดกดันใส่เขาเป็นระยะ.... ถ้าคิดจะทำตัวเหมือนเด็กงี่เง่าแบบนี้แล้วล่ะก็ สู้ด่ากันมาตามตรงอย่างที่ใจคิดเลยยังจะดีเสียกว่า
“ถ้าฉันบอกว่าไม่อยากให้นายไปแล้วนายจะไม่ไปหรือไง?”
“โธ่เอ๊ย.... ทำมาเป็นพูดนั่นพูดนี่ สุดท้ายก็ยึดเอาเรื่องของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่เห็นหัวใคร แล้วจะมาบอกให้ฉันพูดทำไม”
น้องเล็กแห่งKAT-TUNเชิดหน้าแค่นเสียงเยาะในลำคอเมื่อได้ยินคำท้าจากคนเห็นแก่ตัวที่ทิ้งทุกคนไปแล้วยังโยนความผิดมาให้เขารับอย่างหน้าไม่อาย ชื่อเสียงเงินทองและความโด่งดังระดับนานาชาติกำลังบดบังอาคานิชิ จินให้หน้ามืดตามัวมองไม่เห็นถึงบาดแผลที่เขากำลังจ้วงกรีดแทงลงในหัวใจของผู้อื่น.... คำหนึ่งก็ความฝัน สองคำก็ความฝัน ในเมื่อภายในหัวสมองยึดถือเห็นความสำคัญของการเดบิวท์ในอเมริกาอยู่เหนือความเป็นยูนิตของKAT-TUNและการเป็นคนรักของคาเมะนาชิ คาซึยะ การพูดคุยก็ไม่มีความจำเป็นใดๆอีกต่อไป
“ไม่เห็นมีอะไรที่เราจะต้องพูดกัน แล้วคนอย่างฉันก็จะไม่พูดอะไรแบบนั้นออกมาแน่ๆ ไม่ต้องห่วงนะ.... ไปอยู่อเมริกาให้สบายใจเถอะ ทำเรื่องขอเป็นซิติเซ่นย้ายบ้านไปอยู่ที่โน่น ไม่ต้องกลับมาญี่ปุ่นอีกเลยก็ได้!!!”
“โอ๊ย!!!!!”
ร่างขาวจัดถูกเหวี่ยงจนล้มลงไปนอนกองอยู่บนเตียงกว้าง แม้จะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดทางกายเท่าใดนัก แต่ทว่าภายในหัวใจนั้นกลับร้าวรานเสมือนเป็นก้อนเนื้อที่ถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งนักร้องหนุ่มเดินตามมาประชิดถึงตัวแล้วจิกปลายนิ้วบนบนต้นแขนกระชากคาเมะให้นอนหงาย เสียงร้องอุทธรณ์จึงเปล่งดังขึ้นโดยที่ดวงตาเรียวรีคู่สวยเผยให้เห็นชัดถึงห้วงอารมณ์ซึ่งสับสนปะปนกันระหว่างความโกรธเคืองและความเสียใจ แต่กระนั้น ทั้งมือและเท้าก็ยังคงพยายามถีบถองป่ายปัดคนตรงหน้าไปให้พ้นยามเมื่ออาคานิชิ จินเหวี่ยงท่อนขาขึ้นคร่อมร่างเล็กพลางออกแรงพันธนาการกดตรึงไม่ให้คนรักได้มีโอกาสดิ้นรนขัดขืน
“อย่ามาทำหยาบคายแบบนี้กับฉันนะ ฉันไม่ชอบ!!!”
“แล้วสิ่งที่นายทำล่ะ คิดว่าฉันชอบนักหรือไง!!!??”
เสียงห้าวตะคอกกลับด้วยแรงโมโห ประกอบกับฤทธิ์เหล้าจำนวนมากซึ่งชายหนุ่มโหมดื่มเข้าไปก่อนเดินทางมาที่นี่ส่งผลให้สติยั้งคิดถูกสัญชาตญาณเบื้องลึกบั่นทอนจนลืมเลือนสำนึกผิดชอบชั่วดีไปจนสิ้น.... ฝ่ามือหยาบกร้านข้างหนึ่งเคลื่อนล้วงลงต่ำกระชากทึ้งขอบกางเกงนอนเนื้อดีอย่างไม่กลัวว่ามันจะขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อารมณ์คลุ้มคลั่งพาลให้เลือดในกายเดือดพล่านจนต้องหาหนทางระบายออกด้วยการแก้แค้นเอาคืนเจ้าของคำพูดประชดประชันด่าทออย่างเจ็บแสบโดยไม่เลือกวิธีการ ในขณะที่คาเมะทำได้แค่เพียงปัดป้องไม่ให้อีกฝ่ายจาบจ้วงล่วงเกินโดยที่เขาไม่ยินยอมพลางตะโกนร้องห้ามด้วยความตื่นตระหนก
“จิน!!!!!”
“จะทำอะไรน่ะ.... หยุดเดี๋ยวนี้นะ จิน!!!!!!”
คนรักตัวเล็กซึ่งเคยถูกหวงแหนและทะนุถนอมหากแต่ในเวลานี้กลับกลายมาเป็นเครื่องรองรับอารมณ์โกรธเกรี้ยวผิดหวัง ทั้งๆที่ต่างฝ่ายนั้นต่างบอบช้ำจากประโยคถ้อยคำที่ขุดสรรขึ้นมาใช้ประหัตประหารกันและกัน แต่ทว่า นักร้องหนุ่มที่มิอาจบังคับควบคุมจิตใจของตนเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะยุติความทะยานอยากส่วนตัวอันเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดลง ซ้ำร้ายยังจะตอกย้ำทุกสิ่งทุกอย่างให้ยิ่งบานปลายด้วยการทำร้ายคาเมะทั้งคำพูดและการกระทำ
“ฉันไม่หยุด!!!!!!!”
“อะไรก็ตามที่ฉันอยากได้ ฉันจะต้องได้มันมาทั้งหมด.... ไม่ว่าจะเป็นงานโซโล งานแสดงคอนเสิร์ตในต่างประเทศ ความฝัน ความรัก หรือแม้กระทั่งตัวนาย!!!!!!”
สิ้นเสียงประกาศกร้าวครั้งสุดท้าย สองแขนของคาเมะก็พลันอ่อนแรง ร่างทั้งร่างหยุดการเคลื่อนไหวไปโดยอัตโนมัติราวกับถูกคมมีดทิ่มแทงปักลงกลางขั้วหัวใจ เหลือสภาพเป็นเพียงท่อนไม้ไม่ไหวติงซึ่งอาคานิชิ จินจะจับฉุดกระชากลากถูหรือทำอย่างไรก็ได้ตามต้องการ
แรงกระทั้นอย่างก้าวร้าวและเกรี้ยวกราดเหมือนสัตว์ป่าดิบเถื่อน ยัดเยียดเอาอณูของความโกรธ เกลียดและเห็นแก่ตัวถาโถมเข้ามาพร้อมกับความฝันของคาเมะที่ลอยห่างออกไป แปรผกผันกับความฝันของจินซึ่งกลายเป็นความจริงได้ด้วยการเหยียบย่ำความรักที่เคยมีต่อกันให้แหลกสลาย
ภายใต้ห้วงสติสัมปชัญญะซึ่งพร่าเลือนริบหรี่ลงทีละน้อย คำตอบที่เคยนึกสงสัยอยากรู้มานานว่าสำหรับจินแล้ว ตัวเขานั้นมีความสำคัญมากแค่ไหนก็พลันปรากฏชัดเจนขึ้นโดยที่ไม่ต้องเอ่ยถาม.... และคาเมะก็คงไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไปถ้าหากว่ายามะพีหรือเพื่อนคนไหนของจินจะแสดงกิริยาท่าทางดูถูกคนที่สำคัญตัวเองผิดไปไกลโขอย่างเขา
ก็เพียงแค่ของชิ้นหนึ่งที่จินเคยได้มาอย่างง่ายๆ มิหนำซ้ำยังทั้งซื่อและโง่ ไม่ว่าจะถูกเอาเปรียบมากแค่ไหนก็ไม่เคยปริปากตัดพ้อ
แต่สำหรับคราวนี้ มันมากเกินกว่าที่เขาจะอดทนต่อไปได้ไหวจริงๆ
หากว่าการเป็นคนรักของอาคานิชิ จินนั้นต้องแลกเปลี่ยนมาด้วยความเจ็บปวดที่หนักหนาสาหัสซึ่งเกิดขึ้นหนแล้วหนเล่าถึงเพียงนี้ ก็คงถึงเวลาแล้วที่คาเมะนาชิ คาซึยะต้องเรียนรู้และปรับตัวให้คุ้นชินกับการอยู่เพียงลำพัง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลยก็ตาม
อย่างน้อยที่สุด.... ก็เพื่อตัวของเขาเอง
.
.
‘ความฝันของฉันมันทำให้นายเจ็บปวดมากขนาดนั้นเลยหรือไง คาซึ.... ทำไมนายถึงต้องทำเหมือนว่าฉันไปฆ่าใครตายด้วย!!??’
‘ถ้าหากนายรักฉันจริง เรื่องแค่นี้ทำไมถึงยอมรับไม่ได้!!??’
‘คาซึไม่ได้รักฉันหรอก คนที่นายรักก็คือตัวของนายเองต่างหาก.... ถึงได้พยายามขัดขวางไม่ยอมให้ฉันได้ไปอเมริกา เพราะนายกลัวว่าตัวเองจะเหงา กลัวว่าตัวเองจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว เป็นอย่างนั้นใช่ไหม!!!??”
‘นายมันเห็นแก่ตัวที่สุด คาซึ.... ฉันไม่น่ารักคนอย่างนายเลย!!!!’
.
.
ไม่ใช่ความฝันของจินที่ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวด แต่มันคือความเห็นแก่ตัวและธาตุแท้ในหัวใจที่นายค่อยๆเผยมันออกมาต่างหาก
จนวินาทีสุดท้ายที่ร่างกายของฉันยับเยินจนแทบแตกสลายด้วยน้ำมือของนาย เสียงด่าทอกล่าวโทษที่ร้ายแรงมากกว่าคำพูดเหน็บแนมจากปากยามะพีนับหมื่นนับแสนเท่าก็ยังคงดังก้องอยู่ข้างในโสตประสาท
นายไม่เคยเข้าใจอะไรเลย.... เอาแต่พร่ำพูดถึงความฝันของตัวเองฝ่ายเดียว เคยสนใจบ้างไหมว่าฉันกำลังรู้สึกนึกคิดอย่างไร
มันผิดมากเลยหรือกับการที่ฉันเพียงแค่อยากมีนายคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลา.... ได้เห็นหน้ากันทุกครั้งที่อยากพบเจอ ได้ยินเสียงทุกครั้งที่อยากพูดคุย ได้สัมผัสแตะต้องกันและกันทุกครั้งเมื่อต้องการไออุ่น
ไม่ใช่เพราะว่ารักมากหรือ ถึงได้ไม่อยากให้ไป?
แต่ถ้านายดูแคลนความรักของฉันว่าเป็นแค่เพียงความเห็นแก่ตัวของคนขี้เหงาที่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองเหมือนเด็กไม่รู้จักโต แล้วมันสมควรที่จะถูกด่าว่าให้เจ็บช้ำน้ำใจ.... นายก็ไปจากที่นี่เสียเถอะ ฉันขอคืนอิสรภาพและปีกที่จะพานายโบยบินไปตามเส้นทางความฝันนั้นให้
เพราะความรักที่มีมันคงจะด้อยค่าจนเกินไป
......ฉันจะไม่ขอเจ็บปวดเพราะเรื่องของนายอีกแล้ว......
I don’t wanna lose you but what a painful world
จะไม่ลุ่มหลงไปกับฝูงชนนับพัน
ความหวังแห่งความเจ็บปวดกรีดลึกลงภายในหัวใจดวงนี้
I don’t wanna lose you but what a painful world
มีเพียงแสงสว่างเท่านั้นที่ทำให้ความรักกลายเป็นสิ่งยวนใจ
ตัวเธอถูกช่วงชิงไปแล้วหรือ?
What a painful?
But No…. No… No More Pain
To be continue on 3rd Track 'FARAWAY'